1. ภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยคืออะไร ?
ระดับกลูโคสในเลือดคือปริมาณของกลูโคสที่อยู่ในเลือด เมื่อระดับดังกล่าวลดต่ำลงจนเกินไป จะเรียกว่าภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อย ระดับกลูโคสในเลือดที่ต่ำมากอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงที่ต้องได้รับการรักษาโดยทันที
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องรักษาระดับกลูโคสในเลือดไม่ให้สูงหรือต่ำเกินไป
2. จะรู้ว่ามีภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยได้อย่างไร ?
อาการและอาการแสดงเมื่อระดับกลูโคสในเลือดต่ำอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและอัตราการลดลงของระดับกลูโคสในเลือด
สัญญาณเตือนเมื่อกลูโคสในเลือดต่ำได้แก่ :
- เหงื่อออก
- หิวมาก
- หัวใจเต้นเร็ว
- พูดไม่ชัด
- หงุดหงิด
- เวียนศีรษะ
- เหนื่อย
- ตามัว
- ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ
- ตัวสั่น
บางครั้งภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยอาจรุนแรงจนทำให้คุณเป็นลมหรือชักได้
อย่าลืม : อาการเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดจากระดับกลูโคสในเลือดต่ำเสมอไป ควรตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดทุกครั้งเมื่อรู้สึกไม่สบาย ห้ามเดาเองเด็ดขาด !
หากคุณมีภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยตอนกลางคืน คุณอาจร้องไห้ ฝันร้าย หรือเหงื่อออกตอนกลางคืน (อาจมีผ้าปูที่นอนและ/หรือชุดนอนเปียก) และอาจตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงงหรือปวดหัว
3. ภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยเกิดจากอะไรได้บ้าง ?
คุณอาจมีกลูโคสในเลือดต่ำได้เมื่อ :
- ไม่รับประทานอาหารหรือรับประทานอาหารไม่เพียงพอ
- ออกกำลังกายนานหรือหนักกว่าปกติโดยไม่ได้รับประทานอาหารเพิ่มเติม
- ได้รับอินซูลินมากเกินไป
- ฉีดอินซูลินในเวลาที่ไม่เหมาะสมเทียบกับมื้ออาหาร ของว่าง และการออกกำลังกาย
- ในระหว่างการนอนหลับ ซึ่งเรียกว่า ภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยตอนกลางคืน
- หลายชั่วโมงหลังการออกกำลังกาย ซึ่งเรียกว่า ภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยหลังการออกกำลังกาย
- หลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์จะลดความสามารถของร่างกายในการรักษาระดับกลูโคสในเลือดให้อยู่ในช่วงปกติ ซึ่งอาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงอย่างฉับพลันได้ และยังมีผลเสียต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ จากการใช้แอลกอฮอล์และสารเสพติดด้วย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยอีกด้วย
ซึ่งได้แก่ :
- การฉีดอินซูลินเข้ากล้ามเนื้อแทนที่จะฉีดเข้าชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
- การฉีดอินซูลินเข้าไปในส่วนของร่างกายที่ใช้บ่อยขณะเล่นกีฬา (เช่น การฉีดเข้าที่ต้นขาก่อนการฝึกซ้อมฟุตบอล)
สถานการณ์ที่กล่าวมานี้จะเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อย
5. การตรวจระดับกลูโคสในเลือดต่ำ
วิธีเดียวที่จะทราบได้อย่างแน่ชัดว่าคุณกำลังมีระดับกลูโคสในเลือดต่ำหรือไม่คือการตรวจวัด แต่หากคุณไม่สามารถตรวจระดับกลูโคสในเลือดได้ในทันที การรักษาตัวเองทันทีเมื่อสงสัยภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงจะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานบางคนอาจไม่สามารถสังเกตอาการของระดับกลูโคสในเลือดต่ำได้ สำหรับพวกเขาแล้ว การตรวจระดับกลูโคสในเลือดบ่อย ๆ และการใช้มาตรการป้องกันระดับกลูโคสในเลือดต่ำนั้นจะยิ่งมีความสำคัญมาก (ดูคำแนะนำในการป้องกันด้านล่าง) หากคุณมีปัญหาในการรับรู้อาการของระดับกลูโคสในเลือดต่ำ โปรดแจ้งให้ทีมดูแลโรคเบาหวานของคุณทราบ
6. กลูโคสในเลือดต่ำ (ภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อย) รักษาอย่างไร ?
หากระดับกลูโคสในเลือดต่ำกว่า 70 มก./ดล. คุณต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
โดยคุณต้องทำตามขั้นตอนดังนี้ :
- รับประทานน้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะหรือดื่มเครื่องดื่มรสหวานครึ่งแก้ว เช่น น้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม (ที่ไม่ใช่สูตรไม่มีน้ำตาล) แล้วพัก 15 นาที หลังจากนั้นจึงตรวจกลูโคสในเลือด
- หากระดับกลูโคสในเลือดของคุณสูงกว่า 70 มก./ดล. ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 20-30 นาทีเพื่อยืนยันว่าระดับกลูโคสในเลือดอยู่ในเป้าหมายแล้ว (> 70 มก./ดล.)
- หากระดับกลูโคสในเลือดของคุณยังคงต่ำกว่า 70 มก./ดล. ให้รับประทานน้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะอีกครั้งหรือดื่มน้ำหวานครึ่งแก้ว เช่น น้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม (ที่ไม่ใช่สูตรไม่มีน้ำตาล) แล้วพัก 15 นาทีและตรวจระดับกลูโคสในเลือด
หากภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยเกิดขึ้นก่อนมื้ออาหาร (ซึ่งมักเป็นเวลาที่ต้องฉีดอินซูลิน) ควรรักษาภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยก่อน และเมื่อระดับกลูโคสในเลือด > 70 มก./ดล. แล้ว ค่อยให้อินซูลินตามปกติ ห้ามเว้นการฉีดอินซูลินเด็ดขาด โดยเฉพาะหากมีภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยในช่วงเช้าตรู่
หากพบคนมีอาการชักหรือหมดสติ อย่าให้รับประทานอาหาร เพราะอาจทำให้เกิดการสำลักได้ (อาหารที่เข้าไปในทางเดินหายใจอาจทำให้เกิดโรคปอดอักเสบอย่างรุนแรงได้) คุณต้องไปแผนกฉุกเฉินที่โรงพยาบาล