1. เครื่องมือที่คุณต้องใช้สำหรับการติดตามระดับกลูโคสในเลือดมีอะไรบ้าง ?
เครื่องวัดกลูโคสในเลือด
“เครื่องวัดนี้เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาที่ใช้วัดระดับกลูโคสในเลือด ซึ่งใช้เพียงเลือดหยดเล็ก ๆ จากนิ้วเท่านั้น
เครื่องวัดกลูโคสในเลือดควรเก็บรักษาตามคำแนะนำของผู้ผลิตและปรับค่าให้เป็นมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ วิธีการใช้งานอาจแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง สามารถอ่านวิธีใช้ได้จากคู่มือผู้ใช้ หรือสอบถามแพทย์/พยาบาลของคุณเกี่ยวกับวิธีใช้และเก็บรักษาเครื่องวัดกลูโคสในเลือด”
แถบทดสอบกลูโคสในเลือด
ใช้แถบทดสอบที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องวัดรุ่นนั้น ๆ เท่านั้น แถบทดสอบแผ่นหนึ่งสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าคุณจะต้องใช้แถบทดสอบแผ่นใหม่ทุกครั้งเมื่อต้องการจะวัดระดับกลูโคสในเลือด ห้ามใช้แถบทดสอบที่หมดอายุแล้ว เก็บรักษาแถบทดสอบตามคำแนะนำ ห้ามเก็บแถบทดสอบไว้ในตู้เย็น
ที่เจาะปลายนิ้วและเข็มเจาะ
เข็มเจาะคือเข็มแหลมขนาดเล็กที่ใช้เจาะผิวหนัง คุณจะต้องมีที่เจาะนิ้วพร้อมเข็มเจาะเพื่อให้ได้หยดเลือดสำหรับการตรวจกลูโคสในเลือด
2. ฉันควรตรวจกลูโคสในเลือดเมื่อไหร่และบ่อยแค่ไหน ?
คุณควรตรวจกลูโคสในเลือดอย่างน้อย 4 ครั้งต่อวัน แต่ควรตั้งเป้าไว้ที่ 6 ครั้งต่อวันหากมีแถบทดสอบเพียงพอ และให้บันทึกผลไว้ด้วย
“ควรวัดกลูโคสในเลือด :
1. เมื่อคุณตื่นนอน ก่อนรับประทานอาหารเช้า
2. ช่วงสาย ก่อนมื้อเที่ยง
3. ช่วงเย็น ก่อนมื้อเย็น
4. ก่อนเข้านอน
เมื่อเป็นไปได้ หากคุณมีแถบทดสอบเพียงพอ คุณสามารถตรวจวัดเพิ่มเติมได้ตอน :
5. 2.5 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารเช้า
6. 2.5 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารกลางวัน”
คุณอาจตรวจระดับกลูโคสให้บ่อยขึ้นเมื่อคุณออกกำลังกายอย่างหนัก (ทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และสามถึงสี่ชั่วโมงหลังออกกำลังกาย) บางครั้งก็อาจตรวจช่วงกลางคืนเพื่อดูว่ามีระดับกลูโคสในเลือดสูงหรือต่ำตอนกลางคืนหรือไม่ หรือตรวจเมื่อคุณเจ็บป่วยเพื่อป้องกันภาวะเลือดมีน้ำตาลมากขั้นวิกฤติ การตรวจวัดเพื่อยืนยันภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อย (ระดับกลูโคสในเลือดต่ำ) และเฝ้าสังเกตอาการของคุณก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
ระดับกลูโคสในเลือดที่ควบคุมได้ไม่ดี นอกจากจะนำไปสู่ปัญหาระยะสั้น เช่น ภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยแล้ว ยังสามารถก่อให้เกิดภาวะต่าง ๆ ที่อันตรายถึงชีวิตได้ด้วย เช่น ภาวะกรดเกินจากคีโทน และโคม่าจากโรคเบาหวาน
3. ความสำคัญของการตรวจให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
การจัดการโรคเบาหวานให้สำเร็จได้ต้องอาศัยการติดตามกลูโคสในเลือดด้วยตนเองให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณสามารถตั้งเป้าไว้ที่ 6 ครั้งต่อวันได้หากคุณมีแถบทดสอบเพียงพอ ควรส่งผลการตรวจให้แพทย์คอยตรวจสอบเรื่อย ๆ เพื่อดูรูปแบบความผันผวนของระดับกลูโคสในเลือด แพทย์จะได้นำมาปรับแผนการรักษาโรคเบาหวานให้เหมาะสมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คุณอาจไม่มีแถบทดสอบพอ 6 แผ่นสำหรับทุกวัน ถ้าคุณมีน้อย พยายามตรวจอย่างน้อย 4 ครั้งต่อวัน ซึ่งคือก่อนอาหารแต่ละมื้อและก่อนนอน และคุณอาจปรึกษาแพทย์เรื่องนี้ได้ด้วยเช่นกัน
4. การตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดทำอย่างไร ?
1. ล้างและเช็ดมือให้สะอาด
2. นำแถบทดสอบใส่เข้าไปในเครื่องวัดกลูโคสในเลือด
3. ใช้เข็มเจาะนิ้ว
4. หยดเลือดลงบนแถบทดสอบจนกว่าเลือดจะถูกดูดเข้าไปเพียงพอที่จะเริ่มการวัดค่า
5. เครื่องวัดกลูโคสในเลือดจะแสดงผลภายในไม่กี่วินาที
6. บันทึกผลที่ได้ลงในสมุด
7. ทิ้งแถบทดสอบและเข็มเจาะที่ใช้แล้วในภาชนะที่เหมาะสม เก็บเครื่องวัดกลูโคสในเลือด
คำแนะนำ : การเลือกจุดเจาะ—อย่าเจาะเลือดจากนิ้วเดิมตลอด การเจาะด้านข้างของปลายนิ้วอาจเจ็บน้อยกว่าผิวด้านหน้านิ้ว
5. อ่านผลที่ได้อย่างไร ?
ระดับกลูโคสในเลือดที่ดีควรจะอยู่ระหว่าง 70 – 180 มก./ดล.
– ช่วงตื่นนอนและก่อนรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ควรอยู่ระหว่าง 70 – 130 มก./ดล.
– ช่วงหลังอาหารและก่อนนอน ควรอยู่ระหว่าง 90 – 180 มก./ดล.
คุณจะมีเป้าหมายระดับกลูโคสในเลือดเฉพาะตัวคุณเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาช่วงที่เหมาะสมกับคุณ
ถ้าอ่านค่าได้ต่ำกว่า 70 มก./ดล. ให้รักษาเป็นภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อย (ระดับกลูโคสในเลือดต่ำ) โปรดศึกษาแผ่นข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
บางครั้งอาการของภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยอาจเกิดขึ้นได้แม้ค่าจะสูงกว่า 70 มก./ดล. ซึ่งก็ยังควรรักษาเป็นภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยเช่นกัน
หมายเหตุ :
– หากระดับกลูโคสในเลือดก่อนอาหารสูงเป็นประจำ แสดงว่าปริมาณอินซูลินที่ใช้ก่อนหน้าอาจต่ำเกินไป
– หากระดับกลูโคสในเลือดก่อนอาหารต่ำเป็นประจำ แสดงว่าปริมาณอินซูลินที่ใช้ก่อนหน้าอาจสูงเกินไป
– หากระดับกลูโคสในเลือดก่อนอาหารสูงบ้างต่ำบ้าง อาจมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ปริมาณอินซูลิน อาหารที่รับประทาน และการออกกำลังกาย
ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับภาวะเหล่านี้
6. HbA1c คืออะไร ?
แพทย์จะตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือน ผลการตรวจนี้จะบ่งบอกถึงระดับกลูโคสในเลือดโดยเฉลี่ยในช่วงสองถึงสามเดือนที่ผ่านมา ยิ่งระดับ HbA1c สูง ยิ่งแสดงถึงการควบคุมระดับกลูโคสในเลือดที่ไม่ดี และยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานมากขึ้น
หากคุณติดตามระดับกลูโคสในเลือดด้วยตนเองได้ดี แพทย์จะตั้งเป้าระดับ HbA1c ไว้ต่ำกว่า 7%
หากระดับปัจจุบันเกิน 7.5% สิ่งที่คุณควรรู้คือการลดระดับ HbA1c จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระยะยาว การควบคุมที่ดีสามารถทำได้โดยการหมั่นตรวจกลูโคสในเลือดเป็นประจำ